วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551

ชีวิตของฉัน

นางสาวสำลี แสงเขียว / MED / รหัส 49010520235 / กลุ่มเรียนที่ 2

เรียงความเรื่อง ชีวิตของฉัน
“ จากเด็กสู่ผู้ใหญ่เวลาผ่านไปไปเหมือนโกหก ”
จากอดีดสู่ปัจจุบันก็เป็นเวลาเกือบ 21 ปีแล้วที่ฉันเกิดมาและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เวลามันช่างผ่านไปเร็วจนไม่น่าเชื่อ จนตอนนี้เองมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ แต่ไม่ว่าเวลามันจะผ่านไปนานเท่าไรฉันก็ยังอดนึกถึงสมัยตอนเป็นเด็กๆไม่ได้
ฉันมีชื่อว่านางสาวสำลี แสงเขียว เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530 เวลา 18.00 น. ณ บ้านเลขที่ 197 หมู่ ที่ 1 บ้านไร่สีสุก อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันแยกมาเป็นจังหวัดอำนาจเจริญแล้ว แม่บอกว่าฉันเป็นเด็กที่คลอดง่ายจึงให้หมอตำแยมาทำคลอดที่บ้าน ไม่เหมือนกับพี่สาวทั้งสองคนที่ต้องไปทำคลอดที่โรงพยาบาล ตอนฉันเกิดมาพ่อบอกว่าฉันตัวขาวมากจึงตั้งชื่อว่า "สำลี " ซึ่งคล้องกับชื่อพ่อด้วย ตอนนั้นฉันตัวผอมมากหนักแค่ 2000 กรัม ฉันค่อนข้างที่จะเป็นเด็กที่ขี้โรคคือเจ็บป่วยบ่อยมากแต่แปลกที่ว่าฉันเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย ไม่งอแง ทั้งๆที่ไม่สบายบ่อย พ่อบอกว่าฉันเริ่มเดินได้เมื่ออายุ 1 ปี ซึ่งมีพี่สาวทั้งสองคนเป็นคนช่วยดูแลเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน พอฉันอายุได้ 2-3 ปี ฉันก็เริ่มวิ่งไปไหนมาไหนตามประสาเด็กๆ แต่ไม่ไปไหนไกลจะอยู่เฉพาะบริเวณบ้านของตัวเองและบ้านของป้าทื่อยู่ข้างๆ เวลาที่เห็นอะไรสวยๆ หรือเห็นขนมแล้วอยากได้ก็จะร้องจนพ่อกับแม่ต้องซื้อให้ซึ่งตอนนั้นฉันเริ่มงอแงแล้ว และอยากทำอะไรด้วยตนเอง เช่น การกินข้าว และเมื่อฉันอายุได้ 5 ขวบโตพอที่จะเข้าโรงเรียนพี่สาวของฉันก็จะสอนให้ฉันเขียน ก-ฮ และ เลข 1-10 แทบทุกวันเพื่อเป็นพื้นฐานก่อนเข้าเรียน พออายุ 6 ปีและเป็นวันเข้าเรียนชั้นอนุบาลวันแรกพ่อก็ไปส่งฉันที่โรงเรียนใกล้บ้านซึ่งตอนนั้นยังไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และพ่อก็กลับบ้าน วันนั้นฉันไม่ร้องไห้เลยซึ่งต่างจากเพื่อนคนอื่นพอพ่อแม่กลับบ้านก็พากันร้องไห้ ซึ่งพ่อกับแม่ก็บอกกับฉันว่าชื่นชมตัวฉันในข้อนี้มาก พอเข้าเรียนฉันก็เริ่มมีเพื่อนซึ่งส่วนใหญ่ตัวสูงกว่าฉัน ฉันเข้าเรียนชั้นประถม จำได้ว่าตอนนั้นฉันอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อาจารย์ส่งฉันไปคัดลายมือที่โรงเรียนบ้านไร่สีสุกผลปรากฏว่าฉันชนะซึ่งพ่อแม่ฉันก็ชื่นชมในตัวฉันมาก ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งซึ่งบ้านเขาไม่ไกลจากบ้านของฉันนัก หากพ่อแม่ไม่เห็นฉันอยู่ที่บ้านก็จะรู้เลยว่าฉันต้องไปเล่นที่บ้านของเพื่อนคนนั้น ตอนนั้นฉันเป็นเด็กที่ขี้อายมากถึงมากที่สุด อายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือครูมาเยี่ยมที่บ้าน และมีนิสัยอย่างหนึ่งที่พ่อกับแม่ไม่ชอบคือฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ วันว่างเสาร์-อาทิตย์นอกจากไปเล่นที่บ้านเพื่อนเป็นครั้งคราวแล้วฉันก็จะไปนากับพ่อและแม่ ตอนไปจะเดินไป แต่ตอนกลับพ่อจะให้ขี่คอพ่อหรือไม่ก็ให้ขี่หลังควายที่พ่อเลี้ยงไว้ประจำ และบางวันก็ถีบจักรยานกลับบ้านซึ่งฉันถีบจักรยายเป็นเมื่ออายุประมาณ 6 ปี ซึ่งพ่อและพี่สาวเป็นคนหัดให้ฉัน มีวันหนึ่งขณะที่ฉันอยู่บนเถียงนาซึ่งเถียงนาของฉันมีสองชั้นซึ่งค่อนข้างที่จะสูง ดังนั้นเถียงนาจึงต้องมีบันไดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับต้นไม้ใหญ่ แม่ก็บอกให้ฉันยื่นสิ่งของอย่างหนึ่งให้ พอฉันจะเอาสิ่งของยื่นให้แม่ทางบันไดฉันกลับพลัดตกลงมาแล้วหัวไปฟาดต้นไม้อย่างแรง ทำให้หัวของฉันแตกและมีเลือดไหลออกมาฉันเลยร้องไห้แบบไม่หยุด ตอนนั้นพ่อกับแม่ตกใจมากแต่เนื่องจากว่านาของฉันอยู่ไกลบ้านพ่อก็เลยบดใบสาบเสือแปะที่หัวของฉันเพื่อห้ามเลือดก่อนที่จะพากลับบ้าน ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างที่จะไม่ซนอาจเนื่องมาจากที่เป็นผู้หญิงพ่อจึงไม่ค่อยให้ออกไปเที่ยวที่ไหนยกเว้นไปกับแม่หรือพี่สาวและเป็นเด็กที่ขี้อายด้วย พออายุ 10 ปี ขึ้นชั้นประถมปลายฉันก็ยังตัวเล็กแต่ก็ยังตัวเล็กรองจากเพื่อนอีกคนในห้อง ซึ่งตอนนั้นเข้าข่ายว่าเป็นเด็กที่ขาดสารอาหารจึงได้นมกล่องกลับบ้านทุกวัน ผลการเรียนของฉันในช่วงนั้นก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีสอบได้อันดับที่ 4-5 ของห้องตอนนั้นฉันได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันการเขียนเรียงความและยังเป็นตัวแทนไปแข่งขันร้อยมาลัยกับเพื่อนอีก 2 คนซึ่งได้ที่ 2 ของระดับอำเภอ พอขึ้นชั้นมัธยมต้นเมื่ออายุประมาณ 14 ปี รูปร่างของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไปเริ่มแสดงลักษณะประจำเพศที่เด่นชัด ทำให้ฉันต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม และตอนนั้นฉันสูงแค่ 140 ซม. แต่รูปร่างเริ่มอ้วนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ฉันเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในโรงเรียนและเพื่อนต่างโรงเรียน แต่ผลการเรียนก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีคือเกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.00 ตอนนั้นไม่ว่าโรงเรียนจะจัดงานวันสำคัญต่างๆที่มีการแข่งขันคัดลายมือ เขียนเรียงความ ฉันก็จะมีส่วนร่วมประจำ และนอกจานี้ฉันกับเพื่อนอีก 2 คนยังเป็นตัวแทนไปแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งได้ที่ 3 ของระดับจังหวัด ซึ่งพ่อแม่ก็ภูมิใจมากที่ฉันเข้าร่วมกิจกรรมมากมายและมีเกียรติบัตรมาให้ท่าน พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายฉันก็สูงประมาณ 154 ซม. หนัก 50 กิโลกรัม ยิ่งอ้วนกว่าเดิมทำให้พี่สาวของฉันเรียกฉันว่า “หมูน้อย” และตอนนั้นเองฉันก็มีเพื่อนต่างโรงเรียนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย และชอบเล่นตามประสาวัยรุ่น ทำให้ผลการเรียนไม่คอยดีเท่าตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้นประถม จนปัจจุบันนี้ฉันได้เข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยน้ำหนักฉันลดลงเหลือแค่ 46 กิโลกรัม แต่ส่วนสูงกลับเท่าเดิม ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจากการที่ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกาย

จากอดีตที่ผ่านมามันทำให้ฉันนึกถึงความรักความอบอุ่นเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ๆพ่อแม่ พี่สาว เวลาที่เราได้ทานข้าวร่วมกันซึ่งมันเป็นเวลาที่มีความสุขมากซึ่งฉันคิดว่าความรู้สึกนี้เราหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว